เรียนรู้คุณค่าแห่งชีวิต | ‘โรคร้าย บทเรียนล้ำค่าจากหัวใจ’ : นิดดา หงษ์วิวัฒน์

เรียนรู้คุณค่าแห่งชีวิต

Life is Learning Learning is Life

โรคร้าย บทเรียนล้ำค่าจากหัวใจ

นิดดา หงษ์วิวัฒน์

นักเขียน

      ในวงการอาหาร หลายคนรู้จัก นิดดา หงษ์วิวัฒน์ หรือ ป้านิด เป็นอย่างดี ในฐานะบรรณาธิการหญิงผู้นำภูมิปัญญาจากก้นครัวทั่วประเทศมานำเสนอบนหน้ากระดาษนิตยสาร ครัว อย่างลึกซึ้ง

      แต่แล้วการโหมงานอย่างหนักเพื่อหยิบยื่นเรื่องราวมานำเสนอให้กับผู้อ่านที่เธอรักกว่า 25 ปี ก็แสดงผลร้าย เมื่อพบว่าหัวใจของเธอเกิดอาการประหลาดจากโรคไฟฟ้าช็อตที่หัวใจ ที่ไม่มีทางรักษาให้หาย นอกจากการต้องทานยาไปตลอดชีวิต หรือผ่าตัดหัวใจใส่เครื่องช่วยคุมไฟฟ้าที่หัวใจเมื่อวิกฤติเกิดขึ้นภายในร่างที่เธอใช้ทำงานอันเป็นที่รัก

      ชีวิตเธอจึงต้องเจอกับจุดเปลี่ยนสำคัญ นิดดาหันกลับมาทบทวนการทำงานของร่างกายตัวเองอย่างจริงจัง เผชิญหน้า ทำความรู้จักโรคร้ายภายใน ลงมือหาวิธีแก้อย่างจริงจัง และทำให้ต่อมาชื่อของนิดดาเป็นที่กล่าวถึงในฐานะของผู้เชี่ยวชาญด้านการกินเพื่อสุขภาพ นำประสบการณ์และความรู้ที่สั่งสมมาเผยแพร่ให้กับผู้อื่นได้ทำความเข้าใจกับการทำงานของร่างกายตนเอง และรู้จักวิถีของการกินเพื่ออยู่ เพื่อมีชีวิตที่ดีต่อไป

      การกลับมาเรียนรู้ร่างกายตัวเองของเธอ จึงเปรียบได้กับการกลับมาเรียนรู้เรื่องชีวิต บทเรียนที่เธอได้รับในวันนั้นกลายเป็นของขวัญล้ำค่าที่ทำให้เธอเข้าใจชีวิตผ่านแง่มุมของสุขภาพมากขึ้น และเธอยังได้เป็นผู้ให้ของขวัญนั้นแก่ผู้คนจำนวนมากจนถึงปัจจุบัน

      ในฐานะของคนทำงานสื่อ เจ้าของร้านค้าจำหน่ายสินค้าเพื่อสุขภาพ Sangdad Health Mart มีจุดยืนที่ว่า ‘สุขภาพดี มีไว้แบ่งปัน’ และอีกจำนวนมากเป็นบทเรียนล้ำค่าที่นิดดาค้นพบจากการทบทวน ลงมือปฏิบัติอย่างเข้มข้น และไม่ว่าคุณจะเป็นโรคหรือไม่ นี่ก็เป็นหนึ่งปัญญาที่น่าลองทำความเข้าใจและปฏิบัติไม่น้อย

วันที่หัวใจเปลี่ยนไป

     ตั้งแต่ที่เธอเข้ามาทำงานในฐานะบรรณาธิการของนิตยสาร ครัว ควบด้วยตำแหน่งกรรมการผู้จัดการสำนักพิมพ์แสงแดด นอกจากเรื่องครอบครัว พื้นที่หัวใจที่เหลือของผู้หญิงที่ชื่อว่า นิดดา ก็มีให้กับการงานของเธอทั้งหมด

     นิดดา คือ ผู้หญิงเก่ง เป็นตัวอย่างของเวิร์กกิ้งวูแมนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่แล้ววันหนึ่งงานที่เธอทุ่มใจก็ทำให้หัวใจของเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล…

     “มันมีอาการช็อตเหมือนไฟฟ้าบ้านช็อตเลย ทำให้หมดแรง หมดกำลังทุกครั้ง แล้วจะเป็นตอนไหนก็ได้ด้วย เราจะมีเตียงพับประจำตัว ตอนนั้นเราเป็นห่วงเรื่องงาน ทุ่มเทกับงานมาก ไม่ค่อยได้เอาใจใส่อะไร แต่พอมันช็อตขึ้นมาปุ๊บ เราก็รู้สึกหมดแรงพูดยังไม่ได้เลย แล้วมันก็เป็นถี่ขึ้น จากอาทิตย์เว้นอาทิตย์ วันเว้นวัน ตอนหลังเป็นทุกชั่วโมง” นิดดาเล่าย้อนความให้ฟัง

     เธอตัดสินใจพบแพทย์และได้พบกับความจริงที่น่าหวั่นใจ เมื่อหมอสรุปว่าเธอเป็น ‘โรคไฟฟ้าช็อตที่หัวใจ’ โรคที่ไม่อาจรักษาให้หายขาด และเธอต้องกินยาตลอด ชีวิตเพื่อควบคุมกระแสไฟฟ้าในหัวใจ พร้อมทั้งผ่าตัดใส่เครื่องควบคุมไฟฟ้าหัวใจ

     “ทำไมถึงเป็นมากขนาดนี้” นิดดาถามกับตัวเองเมื่อทราบอาการที่เกิดขึ้น และหันกลับมาทบทวนชีวิตตัวเองอย่างจริงจัง“เมื่อก่อนเราไม่เป็น แล้วทำไมตอนนี้ถึงเป็น หันมาดูตัวเองอย่างไม่เข้าข้างตัวเองก็เลยเห็นพฤติกรรม คือ หนึ่ง เรากินของข้างทางตลอด สอง เวลานอนก็ไม่ได้นอนเวลาตื่นดันนอน คือทำงานถึงสว่างแล้วยังไม่เจอแดด ไม่เคยออกกำลังกายเลย” นิดดาหยุดหัวเราะให้กับตัวเองในอดีต
“แล้วเราก็เครียดเพราะต้องทำงานให้ตรงตามตารางที่วางไว้ และยังรับงานเกินแรงเพราะตอนนั้นงานเข้ามาเยอะมาก พูดง่ายๆ ว่าโลภมาก เราเลยฉุกคิดขึ้นมาว่า สาเหตุมาจากการกินและพฤติกรรมของเรา ถ้าหากเรากินยาไป พฤติกรรมมันเปลี่ยนเหรอ จะทำให้โรคนี้หายได้ยังไง มันไม่หายอยู่แล้ว กินยามันแค่กดอาการหมอถึงได้พูดว่ารักษาไม่หาย ต้องกินยาตลอดชีวิต การกินยาตลอดชีวิต หมายความว่า ขนาดยาต้องเพิ่มไปเรื่อยๆ แต่ตัวที่ผลิตโรคไม่ได้ไปไหน เมื่อมันผลิตเกินกว่ายาจะคุม เขาก็บอกว่าดื้อยา ต้องเพิ่มยา ในที่สุดรักษาไม่ได้ก็ต้องเปลี่ยนยามันไม่ใช่ทางออกของการรักษาโรค”

     การตั้งคำถามกับตัวเองอย่างจริงจังทำให้เธอค้นพบหนทางบางอย่างภายใน “เราเป็นคนอ่านหนังสือธรรมะและปฏิบัติธรรมอยู่ พระพุทธเจ้าบอกว่าเหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ไหน ก็ให้แก้ที่เหตุแห่งทุกข์ นี่ก็เหมือนกัน เหตุแห่งโรคอยู่ที่ไหน ให้แก้ที่เหตุแห่งโรค…”

     ซึ่งนั่นก็คือตัวของเธอเอง หลังจากนั้นเธอจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ลองลงมือแก้ปัญหาจากต้นเหตุ และสำรวจเส้นทางอื่นที่พาตัวเธอห่างไกลจากโรงพยาบาลขึ้นเรื่อยๆ

ลงมือรักษาใจ

     แสวงหาทุกวิถีทางช่วยที่ไม่ต้องพึ่งยา“ไปกินกล้วยเสกก็เคยนะ” นิดดาเล่าติดตลก “แล้วก็พบว่าไม่ใช่คำตอบ ถ้าเขาไม่อยู่เสกให้กินล่ะ เราก็ป่วยสิ จนมาเข้าใจว่าหัวใจมีสถานีที่ผลิตไฟฟ้า 2 จุด จุดหนึ่งเรียกว่า เอโนด (Atrioventricular Node) อีกจุดหนึ่งเรียกว่า เอสโนด (Sinoatrial Node) เอโนด เอสโนด มีการช็อตเพราะมีการใช้งานหนักเกินไป” เมื่อค้นพบเหตุของอาการ เธอจึงหันมาใช้แสงแดด นั่งสมาธิ หยุดโลภบ้าระห่ำกับงาน ลดการรับงานให้พอดี ทำงานตั้งแต่ตะวันขึ้นจนเย็นเท่านั้น และเริ่มหันมาใส่ใจกับการออกกำลังกายกลางแสงแดด ฝึกโยคะ ปรับการกิน หยุดกินอาหารข้างถนน หันมากินอาหารทำเอง เข้าคอร์สธรรมชาติบำบัดอย่างจริงจัง เปลี่ยนพฤติกรรมเดิมทั้งหมดที่เป็นเหตุของโรค “เราคิดว่านี่มันใช่เลย ที่ผ่านมาคนรักษาโรคด้วยยา มันไม่ใช่แล้ว มันเคมีทั้งนั้น สมัยโบราณหมอก็ไม่มี ยาก็ไม่มี เขาอยู่กันมาได้ยังไงจนเผ่าพันธุ์ใหญ่โต ก็ธรรมชาตินี่แหละ เราก็ลุยเลย” การทำความเข้าใจการทำงานของร่างกาย ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองให้ดีขึ้น อาการของเธอดีขึ้นตามลำดับอย่างเห็นได้ชัด เธอไม่กินยาที่หมอให้มาเลย และไม่กินยาอีกเลยจาก พ.ศ. 2545 จนบัดนี้ (2561) ไม่ใช้แม้แต่ยาชาเมื่อต้องไปทำฟัน แล้วจึงเริ่มชักชวนคนรอบตัวให้ลองหันมาใช้วิธีรักษาแบบเดียวกัน“สองปีถัดมา (2547) สามีเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ซึ่งพอผ่านวิกฤติของตัวเองมาได้ เรามั่นใจแล้ว สามีเป็นที่ปรึกษาองค์การอนามัยโลก รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล มีนักศึกษาเป็นแพทย์ เต็มเลย ทุกคนบอกให้ผ่าตัด ทำคีโม ฉายแสง เราบอกกับสามีว่า เธอไปศึกษาสิว่าผ่าตัดแล้วเป็นยังไง อาจจะต้องนั่งรถเข็น คุมฉี่ไม่ได้ ทำคีโมฉายแสงต้องอ่อนแอลง และมะเร็งอาจจะกระจายตัวเราก็ถามต่อ แล้วจะทำไปทำไม คนเราเกิดมาต้องตายทั้งนั้น แต่ถ้าทำอย่างนั้นคุณภาพชีวิตจะไม่มีเลย ที่เป็นตอนนี้ก็หามะเร็งเจอเพราะไปตรวจ ไม่ได้เจอเพราะร่างกายป่วย แสดงว่าร่างกายก็ยังรักษาสมดุลได้ เรากับสามีก็เลยทำธรรมชาติบำบัดด้วยกันเต็มร้อย ปรับเปลี่ยนการกินเราเรียกอาหารเพื่อสุขภาพที่กินว่าเป็น‘อาหารเปลี่ยนเลือด’ เพราะทำให้เลือดของเขาดีขึ้น ริดสีดวงทวารหาย โรคอ้วนลดลง ค่า PSA มะเร็งก็ลดลง” เธอเล่าผลจากการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติให้ฟัง“พอมาทางนี้ หัวใจเราก็ฟู เพราะเราควบคุมชีวิตและสุขภาพของตัวเองได้ ทุกทีเวลาป่วย เราจะคิดเลยว่าต้องไปโรงพยาบาลไหน หาหมอที่ไหน มันเป็นภาวะอ่อนแอ ต้องการคนช่วย แต่พอมาหาธรรมชาติเต็มร้อย ทำให้รู้ว่าเราช่วยเหลือตัวเองได้ ความมั่นใจมาทันที เดี๋ยวนี้คนที่บ้านก็รู้จักช่วยเหลือตัวเองเวลาป่วยกันหมด แม้แต่หลานตัวน้อย 2 คน (4 ขวบ กับ 7 ขวบ)” เธอพูดพร้อมรอยยิ้มของคนที่สุขภาพกายและใจแข็งแรง

โรคร้าย บทเรียนล้ำค่าจากหัวใจ นิดดา หงษ์วิวัฒน์

วันที่หัวใจเปลี่ยนไปในทางที่ดี

     หัวใจของนิดดาในวันนี้ ไม่ใช่หัวใจของคนที่เป็นโรคอีกต่อไปแล้ว หัวใจของเธอเปลี่ยนไปจากเดิม และเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี จากการลงมือสร้างความเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเธอเอง และสิ่งที่เธอได้ตอบแทนกลับมาก็คือหัวใจดวงใหม่ที่แข็งแรงยิ่งกว่าเดิม

     “ความแข็งแรงทุกอย่างขึ้นอยู่กับหัวใจด้วย ตอนที่เรารู้ว่าหัวใจตัวเองเป็นแบบนี้ รักษาไม่หาย ใจของเราเด็ดขาดมากว่า ‘ไม่เชื่อ’ ก่อนนี้ไม่เป็น แล้วมาเป็นมันจะไม่หายได้ยังไง ต้องกลับไปแก้ที่เหตุ เราเชื่อว่ามันต้องหาย นี่คือจุดที่เรามั่นใจกับตัวเอง เลยทำให้เรามีความสุขในการศึกษา มีความสุขในการตากแดด”

     เธออธิบายเพิ่มเติมอีกว่าเหตุของความสุขที่เกิดขึ้นกับเธอนั้น เริ่มมาจากการ ‘เข้าใจตัวเอง’ ว่ากำลังทำอะไร เพื่อใคร ที่สำคัญคือ ‘ต้องรู้จักรักตัวเอง’

     “ถ้าเราอยากกินกาแฟมากกว่ากินผัก ทำไมเราไม่รักตัวเอง กาแฟมันทำให้กระดูกบาง กระดูกพรุน รู้หรือเปล่า เรากินไป เรามีความสุขแค่ลิ้นว่าได้กิน พอกลืนก็ไม่สุขแล้ว ตัวที่รับเคราะห์กรรมคือร่างกาย กินผักอาจดูไม่อร่อย แต่ก็แค่ปาก กลืนลงไปมันก็ดีต่อร่างกาย แต่ที่จริง เราเองก็คิดด้วยว่าอาหารสุขภาพต้องอร่อย ไม่งั้นจะไม่มีใครกิน หรือมากินตอนป่วย มันก็ไม่มีความสุข เพราะฉะนั้น ความสุขกับสุขภาพมาคู่กัน การกินก็ต้องมีความสุข ออกกำลังกายต้องมีความสุข เพราะความสุขเป็นเบื้องต้นที่ทำให้ทุกอย่างมีพลังเพิ่มขึ้นมาก พอเราเข้มแข็งขึ้นทุกคนในครอบครัวก็ไม่ห่วงเรา มาพึ่งพิงเราได้ด้วย” เธอยิ้ม

..

ความแข็งแรงทุกอย่างขึ้นอยู่กับหัวใจด้วย ตอนที่เรารู้ว่าหัวใจตัวเอง เป็นแบบนี้ รักษาไม่หาย ใจของเราเด็ดขาดมากว่า ‘ไม่เชื่อ’ ก่อนนี้ไม่เป็น แล้วมาเป็น มันจะไม่หายได้ยังไง ต้องกลับไปแก้ที่เหตุ เราเชื่อว่ามันต้อง หาย นี่คือจุดที่เรามั่นใจกับตัวเอง

..

โรคร้าย บทเรียนล้ำค่าจากหัวใจ นิดดา หงษ์วิวัฒน์

วันที่พื้นที่หัวใจของนิดดาเติบโต

     วิกฤติที่เกิดขึ้น หัวใจที่เปลี่ยนไปของนิดดา ทำให้หัวใจวันนี้ของเธอแปรเปลี่ยนไปสู่บทเรียน และเป็นบทเรียนล้ำค่าที่เธอตั้งใจจะนำมามอบให้กับผู้อื่นได้ใช้ประสบการณ์ของเธอเป็นตัวอย่าง และเป็นแนวทางในการทำให้สุขภาพกายและใจของตนเองให้ดีขึ้น

     “พอเกษียณ เราอยากทำอะไรที่เป็นการแบ่งปันความรู้ การส่งต่อเป็นความสุขอีกแบบหนึ่ง เราอยากช่วยคนจริงๆ ปรึกษาได้ฟรี สอนโยคะก็ฟรี คิดว่าถึงจุดนี้เราควรแบ่งปันกัน ถ้าคนไม่มีเงินต้องใช้ของ เรายังจัดให้ฟรีเลย แล้วสิ่งที่สะท้อนกลับมาคือ หนึ่ง ตัวเรามีค่า สอง เราได้โอกาสในการสะสมความดี เป็นความสุข ความภูมิใจ ไม่เหนื่อย ความสุขของเราตอนนี้ คือรู้สึกว่าตัวเองมีค่า มีกำลัง ช่วยคนอื่นได้ และมีพลังในการคิดสร้างสรรค์เยอะมาก สินค้าในร้านทั้งหมด เราเป็นคนคิดขึ้นมาเอง ถามว่าทำงานหนักไหม ก็ร่างกายเราแข็งแรงนี่ งานอะไรๆ ก็ทำได้หมด

     “พระพุทธเจ้าตรัสว่า อโรคยา ปรมา ลาภา ความไม่มีโรค เป็นธรรมะอันยอด พระพุทธองค์ตรัสว่าร่างกายแข็งแรงเท่านั้น ที่จะทำให้เราไขว่คว้าความสำเร็จได้ ทรัพย์สมบัติที่ยังไม่มาก็คว้าได้ ทรัพย์สมบัติที่มีก็งอกเงย แม้ธรรมะที่ต้องการบรรลุ ก็บรรลุได้ ด้วยกายที่แข็งแรง ร่างกายที่แข็งแรงเหมือนต้นไม้ผลิดอกได้ ต้นไม้ที่ไม่แข็งแรงจะทำอะไรได้ อยากได้ดอกก็ไม่เห็นดอก อยากได้ผลก็ไม่เห็นผล เหมือนคนเลย มันเป็นมิติคนละด้านเดียวกัน ถ้าจิตใจดี กินอยู่ดี ร่างกายที่มีอยู่จะแข็งแรง และถ้าแข็งแรงจะเบิกบาน คนที่แข็งแรงเท่านั้นที่จะหัวเราะได้ทั้งวัน ยิ้มได้ทั้งวัน คนไม่แข็งแรงหายใจก็ไม่ออก เดินก็ไม่ไหว ร่างกายที่แข็งแรง คือคำตอบ
ทุกอย่าง”

..

พระพุทธเจ้าตรัสว่า อโรคยา ปรมา ลาภา ความไม่มีโรค เป็นธรรมะอันยอด พระพุทธองค์ตรัสว่า ร่างกายแข็งแรงเท่านั้นที่จะทำให้เราไขว่คว้าความ สำเร็จได้ ทรัพย์สมบัติที่ยังไม่มาก็คว้าได้ ทรัพย์สมบัติที่มีก็งอกเงย แม้ธรรมะที่ต้องการบรรลุ ก็บรรลุได้ ด้วยกายที่แข็งแรง

..

โรคร้าย บทเรียนล้ำค่าจากหัวใจ นิดดา หงษ์วิวัฒน์

เส้นทางการเรียนรู้ครั้งใหม่ เพื่อทำความเข้าใจถึงวิธีการเรียนรู้จากภายใน  ผ่านการพูดคุยกับผู้ทรงคุณวุฒิ 6 ท่าน  ถึงแนวคิดการเรียนรู้ของชีวิตในมิติต่างๆ  และประสบการณ์ตรงที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของกัลยาณมิตร 9 ท่านที่กรุณาบอกเล่าแบ่งปันประสบการณ์การเรียนรู้ครั้งสำคัญของชีวิต ที่ทำให้แต่ละท่านได้เข้าถึงคุณค่าแห่งชีวิตของตนและใช้ชีวิตหลังจากนั้นอย่างมีความหมาย